มาถึงตัวละครที่เป็นจุดขายของเนื้อเรื่องภาคนี้กันแล้วครับ (อย่างที่บอกนะครับ อย่าอ่านเด็ดขาดถ้ายังไม่ได้ดู สปอยล์หนัก)
5. The Joker รับบทโดย ฮีธ เลดเจอร์ (ฮีธเสียชีวิตเมื่อเดือนมกราคม 2551 นี่คือหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตของเขา อีกเรื่องหนึ่งยังถ่ายทำไม่เสร็จก่อนเขาเสียชีวิต)
นี่คือตัวละครที่เป็นจุดเด่นที่ทุกสายตาจับจ้อง หลังการตายของ ฮีธ เลดเจอร์ ทุกคนทั้งเสียดายและใจระทึกที่จะได้เห็นการปรากฏกายบนจอครั้งสุดท้ายของเขา โจ๊กเกอร์ใน The Dark Knight เป็นคนละตัวละครกับใน Batman ภาคแรก(1989) ที่รับบทโดย แจ็ค นิโคลสัน มีการตีความตัวละครตัวนี้ใหม่จากนิยายภาพยุคหลังๆของซีรีส์แบ๊ตแมน กลายมาเป็นตัวละครที่ไร้ที่มาที่ไปดังคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อตอนจับกุมตัวโจ๊กเกอร์ได้ว่า “ตรวจไม่พบอะไรเลย ไม่พบดีเอ็นเอ(หมายถึงไม่มีในแฟ้มสำมะโนประชากร) ไม่พบลายนิ้วมือ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่มียี่ห้อ ไม่มีชื่อแซ่ ไม่มีฉายาอื่นอีก ในกระเป๋าเสื้อมีเพียงมีด(ไม่รู้กี่สิบเล่มและกี่สิบรูปแบบ)และเศษผ้า”
โจ๊กเกอร์ไม่รู้จักความหวาดกลัว ไม่มีอะไรที่จะบังคับขู่เข็ญเขาได้ เขาไม่เชื่อในกฎกติกาหรือกฎระเบียบใดๆ เขาอ้างตัวว่าเป็นตัวแทนของความโกลาหล และที่สำคัญ เขาเป็นตัวละครที่ผมไม่อยากวิเคราะห์เลย! คนคนนี้ไร้ที่มาไม่มีที่ไป สิ่งเดียวที่ต้องการคือเห็นความพินาศของมวลมนุษย์และความดีงามที่แตกสลาย คำว่าชั่วช้าต่ำทรามและบ้าคลั่งไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเป็นชายผู้นี้ได้ ผมพูดไปก็ยิ่งมึนๆ ผมจะหยิบคำพูดของเขามาลองดูลองอ่านกันนะครับ
*ฉากที่โจ๊กเกอร์เอามีดจ่อปากแกมเบิล “นายรู้มั้ยฉันได้แผลเป็นนี่มายังไง(แผลเป็นที่แก้มทั้งสองข้าง) พ่อฉันเป็นไอ้ขี้เมาแล้วก็ขี้ยาด้วย คืนนึงพ่อฉันคลั่งมากกว่าปกติ แม่ฉันคว้ามีดทำครัวมาป้องกันตัว นั่นทำพ่อไม่ชอบใจเลย*แม้*แต่*นิด*เดียว* ฉันยืนดูตัวสั่นงันงก พ่อจ้วงมีดใส่แม่ไม่ยั้งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วพ่อก็มองมาทางฉันและพูดกับฉันว่า ‘ทำไมต้องซีเรียสขนาดนั้น!?’ พ่อค่อยๆเดินเข้ามาทางฉัน ‘ทำไมต้องซีเรียสขนาดนั้น!?’ แล้วพ่อก็เอามีดเสียบเข้ามาในปากฉันแบบนี้(ทำท่าประกอบ) และเขาก็บอกฉันว่า ‘เรามาสร้างรอยยิ้มบนใบหน้ากันดีกว่า!’”
ครั้งแรกที่หลายคนได้ยินคำพูดนี้จากปากโจ๊กเกอร์ก็คงหลงเชื่อว่าเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กจริงๆของเขา แต่เมื่อฉากถัดมาตัวละครโจ๊กเกอร์พยายามจะใช้มุกเดิมนี้เล่นงาน ราเชล แต่เรื่องเล่าถึงที่มาของแผลเป็นกลับไม่ใช่เรื่องนี้ ทำให้เราเข้าใจทันทีว่าโจ๊กเกอร์ผู้นี้มีจิตใจและความคิดซับซ้อนสับสนมากๆ ทั้งสองเรื่องที่เขาเล่าอาจจะเป็นเรื่องจริงหรืออาจจะไม่ใช่เลยทั้งสองเรื่อง
แต่ผมรู้อย่างเดียวก็คือเขาเป็นคนชอบเรียกร้องความสนใจอย่างร้ายกาจ จากวิธีการเปิดตัว วิธีการแสดงออก วิธีที่เขา ‘เล่น’ กับสื่อ ทุกอย่างทุกตอนคือการร้องแรกแหกกระเชอให้ผู้คนหันมามอง และหวาดกลัวในตัวเขา ในสิ่งที่เขาทำ ในสิ่งที่เขาเป็น และในสิ่งที่เขาคิด จึงไม่มีทางเลยที่โจ๊กเกอร์จะฆ่าแบ๊ตแมน เพราะอย่างที่ตัวเขาบอกเอง ถ้าไม่มีแบ๊ตแมนแล้ว ชีวิตเขาก็คงไม่มีความหมาย หากซูเปอร์ฮีโร่จะเท่จะหล่อจะเก่งกาจได้ต้องมีวายร้ายตัวฉกาจออกมาต่อกรด้วย เมื่อนั้นอาชญากรสุดบ้าคลั่งและมีอำนาจทำลายล้างสูงเช่นเขาก็ต้องการวีรบุรุษที่เป็นดั่งขั้วตรงข้ามออกมาสู้รบปรบมือด้วยเป็นแน่แท้ ก็จะเก่งกาจไปคนเดียวทำไม มันจะสนุกอะไรถ้าต้องยืนอยู่อย่างเดียวดาย ณ จุดสูงสุดของห่วงโซ่แห่งการต่อสู้
*ฉากโจ๊กเกอร์คุยกับฮาวี่ เดนท์ ในโรงพยาบาล(มันยาวไปนิด ผมตัดออกไปครึ่งนึงเลยนะครับ) “พวกชอบวางแผนทำให้นายตกอยู่ในสภาพแบบนี้ นายก็เป็นพวกชอบวางแผน นายมีแผนการ ฉันก็ทำอย่างที่ฉันถนัด ฉันเอาแผนของนายกลับมาใช้กับนายเอง ดูสิ่งที่ฉันทำกับเมืองนี้ด้วยน้ำมันไม่กี่แกลลอนกับกระสุนไม่กี่ลูกสิ ไม่มีใครแตกตื่นหรอกถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่ว่าแผนการนั้นจะน่าสยดสยองแค่ไหนก็ตาม ถ้าพรุ่งนี้ฉันพูดว่าจะยิงไอ้โจรกระจอกคนนึงหรือมีรถทหารระเบิดคันนึง ไม่มีหมาไหนแตกตื่นหรอก แต่หากฉันพูดว่าฉันจะฆ่านายกเทศมนตรี ทุกคนแม่งวิ่งกันพล่าน ขอต้อนรับสู่อนาธิปไตย กระทืบกฎกติกาทิ้งซะแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความโกลาหล ฉันคือตัวแทนแห่งความโกลาหล นายก็รู้ดีนี่ว่าความโกลาหลคืออะไร มันคือความเท่าเทียมไงล่ะ”
คำพูดทั้งหมดที่โจ๊กเกอร์พูดกับฮาวี่เพื่อฉุดกระชากเขาลงสู่ความต่ำทรามโสมมนั้นแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจ๊กเกอร์ชั่วช้าแต่มิได้โง่เขลา เขาฉลาดเข้าขั้นอัฉริยะแต่เป็นความอัฉริยะที่มืดหม่น เขาเชื่อว่ามนุษย์พร้อมจะตกลงสู่ความชั่วร้ายเลวทรามหากได้รับการกระตุ้นที่พอเหมาะ ฮาวี่ เดนท์ คือบทพิสูจน์การกระทำของโจ๊กเกอร์ว่า จิตใจคนเราทุกคนมีการต่อสู้ระหว่างความดีงามและความชั่วร้าย หากถึงวันที่คุณความดีถูกตั้งคำถามและถูกสั่นคลอนอย่างหนักหน่วง เมื่อนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็พร้อมจะก้าวเดินไปสู่เส้นทางมืดหม่นที่ความสับสนวุ่นวายก็น้อยเกินว่าจะจำกัดความได้
**ผมไม่พูดถึงตัวละครแบ๊ตแมนนะครับ เพราะตัวหนังก็พูดถึงชัดแล้ว ผมจะวิเคราะห์สั้นๆแค่ว่าเขาคืออัตตาขั้นสูง(Super-Ego)ของโจ๊กเกอร์ นั่นคือเขาสวมชุดอัศวินรัตติกาลออกต่อสู้เหล่าร้ายเพื่อแก้แค้นให้พ่อกับแม่และด้วยแนวคิดไม่เชื่อในกฎกติกาของสังคม ตั้งตนเองอยู่เหนือระเบียบแล้วตั้งกฎของตนเองขึ้นมาเพื่อบอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำนั้นมิผิดบาปใดๆ สิ่งที่เขาต่างจากโจ๊กเกอร์คือ สิ่งที่เขาทำมีแรงผลักดันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและทำให้สังคมดีขึ้น (คงไม่งงกันใช่รึเปล่าครับ เพราะผมแอบงงนำไปก่อนแล้ว แหะๆ)
ขอบคุณ เดวิด เอส โกเยอร์, คริสโตเฟอร์ โนแลน, และโจนาธาน โนแลน ที่สร้างสรรค์บทภาพยนตร์ชั้นยอดเรื่องนี้ขึ้นมาครับ หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในทุกจุด ทั้งการแสดงของหลายคนที่สามารถเข้าชิงออสการ์ได้อย่างไม่ขัดเขิน (อาจมีการมอบรางวัลนี้เป็นเกียรติแก่ ฮีธ เลดเจอร์ ก็เป็นได้) ดนตรีประกอบที่โคตรเจ๋งของฮานส์ ซิมเมอร์ และ เจมส์ นิวตัน ฮาวเวิร์ด การกำกับที่คุมจังหวะจะโคนหนังได้อย่างสมบูรณ์ และตัวหนังเองก็มีดีพอจะคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี2008ได้ในทุกเวทีประกวดอีกด้วย
ใครยังไม่ได้ดูรีบดูซะนะครับ ส่วนใครดูแล้ว ผมแนะนำว่าหากดูซ้ำอีกรอบจะสนุกมากขึ้นและเข้าใจภาพรวมมากขึ้นด้วยครับ
(เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเฉยๆนะครับ หากมีความเห็นแตกต่างกันก็ติชมคอมเมนต์ได้ตามสะดวกเลยครับ)
ส่งความเห็นที่ กตัญญู ยกเลิกการตอบ