จะมากจะน้อย ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับผมว่า เดี๋ยวนี้ กิจกรรมการดูหนังในโรงภาพยนตร์ มันไม่ใช่การไป “นั่งดูหนัง” เพื่อเสพรับความบันเทิงเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่มันยังพ่วงด้วยการต้องนั่งดูโฆษณาที่เราไม่ได้อยากดูมันเลย
คือจริงๆ ก็เข้าใจล่ะครับว่า โฆษณาก่อนหนังฉาย เป็นช่องทางสร้างรายได้อย่างหนึ่งของโรงหนัง แต่หลายๆ ครั้ง เรารู้สึกว่ามันมากเกินไปไหมครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่หนังฟอร์มยักษ์ฟอร์มใหญ่เข้าฉาย (อย่างล่าสุดก็คือ 2012) ไม่รู้โฆษณาอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด รวมๆ แล้ว กว่าจะได้ดูหนัง “ที่อยากดู” จริงๆ ก็ปาเข้าไปเป็นครึ่งชั่วโมงและหาวไปสามรอบก่อนแล้ว
ผมไม่อยากจะคิดเหมือนที่คนอื่นๆ คิดนะครับว่า นี่เป็นการเอาเปรียบและยัดเยียดคนดูแบบเนียนๆ ของโรงหนัง แต่ปัญหาของมันจริงๆ ก็คือว่า ณ ตอนนี้ เราดูเหมือนจะยังไม่มี “มาตรฐาน” ที่ชัดเจนที่จะจัดการควบคุมเรื่องแบบนี้
ซึ่งถ้าเทียบกับสื่ออื่นๆ อย่างทีวี มันยังมีหลักเกณฑ์ข้อบังคับบอกไว้บ้าง อย่างเช่น รายการทีวีที่มีความยาวหนึ่งชั่วโมง ให้โฆษณาได้ 10 นาที แต่ไม่เกิน 12 นาที อะไรแบบนี้ แต่สำหรับโรงหนัง ที่ผ่านๆ มา ดูเหมือนว่า “อำนาจในการตัดสินใจ” จะถูกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโรงหนังที่จะ “ทำยังไงก็ได้”
“ทำยังไงก็ได้” แบบเดียวกันกับที่ทำกับ “ราคาบัตรผ่านประตู” เข้าไปชมภาพยนตร์
คือโดยทั่วๆ ไป ผมว่า ตอนนี้ ราคาตั๋วหนังน่าจะยืนพื้นอยู่ที่ 120 บาท แต่โรงหนังก็คล้ายๆ จะขยันปิ๊งไอเดียที่จะดูดเงินจากกระเป๋าคนดูหนังได้มากขึ้น พร้อมกับเหตุผลที่ฟังแล้วชวนงงเหลือหลาย อย่างเช่น เพิ่มเป็น 140 บาท จาก 120 บาท เพราะว่ามันเป็นวันเสาร์อาทิตย์
คิดๆ ดู ก็พอทำความเข้าใจได้นะครับ เพราะช่วงวันหยุด มันอาจจะมีคนต้องการดูเยอะ ก็เลยต้องเพิ่มราคา (เพราะไม่ “โกย” วันนี้ จะไป “โกย” วันไหน) แต่ถ้ามองในอีกด้าน ผมว่าไม่เห็นจำเป็นจะต้องไป “โยนภาระ” ให้กับคนที่ดูวันเสาร์อาทิตย์เลยนะครับ เพราะบางที วันปกติ เขาไม่มีเวลาไปดู แต่คุณกลับมาใช้ “ข้อจำกัด” และ “เงื่อนไข” ในเรื่องเวลา มา “ขึ้นราคา” กับเขาเพิ่มอีก (หนังก็หนังเรื่องเดิม คุณภาพเท่าเดิม เก้าอี้ก็ตัวเดิมๆ แต่ราคากลับไม่เท่าเดิม เพียงเพราะเรื่องของ “วันเวลา”)
ยังไม่ใช่เพียงแค่นั้น มันยังมี “กลยุทธ์” อีกหลายรูปแบบที่โรงหนังใช้เป็น “เหตุผล” ในการเพิ่มค่าตั๋ว ที่เจอบ่อยที่สุดก็คือ เวลาหนังดังๆ หรือฟอร์มยักษ์ๆ เข้าฉาย มันจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาตั๋วโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น 2012 ถ้าคุณดูวันปกติ (จันทร์-ศุกร์) โรงพากย์ไทย ราคา 120 บาท แต่ถ้าดูโรงที่ซับไทย ราคาจะ 140 บาท แต่ถ้าดูวันเสาร์-อาทิตย์ โรงที่พากย์ไทยจะเป็น 140 ส่วนโรงที่พูดอังกฤษจะอยูที่ 160 บาท (ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ครั้งหนึ่งในบทความชิ้นก่อนๆ แล้วว่า การขึ้นราคาให้กับโรงพากย์ไทย น่าจะแพงกว่ามั้ย เพราะคุณต้องเพิ่มต้นทุนในการไปจ้างทีมพากย์มาพากย์ให้)
เอาล่ะ แค่นี้ก็มึนตึ้บแล้วครับ ไม่รู้ว่าราคามันจะแบ่งแยกแตกซอยอะไรกันยิบย่อยเยอะแยะและยุ่งยากมากมายขนาดนั้น นั่นยังไม่นับรวมถึงที่นั่งแบบพวก Love Seat อะไรพวกนั้นอีก ที่ล่าสุด นักข่าวรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งไปดู 2012 มา เจอที่นั่ง Love Seat ไปสองที่ 360 บาท แต่ขอโทษเถอะ คุณภาพของที่นั่งก็ไม่ได้ต่างจากเก้าอี้ราคา 120 แต่อย่างใด
พ้นไปจากนี้ ยังมีการปรับแถวที่นั่งเพื่อโก่งราคาอีกต่างหาก คือปกติ ที่นั่งราวๆ 2-3 แถวบน ราคาจะตกอยู่ที่ 140 บาท แต่พอหนังดังๆ หรือหนังฟอร์มใหญ่ๆ เข้าฉาย เราจะพบว่า โรงหนังจะปรับแถวที่นั่งราคา 140 ให้ร่นลงมาอีก และบางครั้ง มันถูกร่นลงมาเกือบๆ ครึ่งโรงเลยด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่เก้าอี้นั้นๆ แต่เดิมก็เป็นเก้าอี้ของราคา 120 บาท แต่ด้วยอานุภาพของหนังดัง ราคาที่นั่งก็เพิ่มขึ้นราวปาฏิหาริย์
อันที่จริง ตรรกะแบบว่า เพราะหนังมันทุนสร้างสูง ราคาตั๋วเลยสูงตามไปด้วย ก็พอจะเข้าใจได้นะครับ แต่ที่น่าตั้งคำถามก็คือว่า แล้วถ้าหนังทุนสร้างต่ำๆ ล่ะ ทำไมไม่ลดราคาค่าตั๋ว เพราะหนังอย่าง “จ๊ะเอ๋…โกยแล้วจ้า” เอย “สามพันโบก” เอย พูดก็พูดเถอะ เทียบทุนสร้างกับหนังอย่าง 2012 มันต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่โรงหนังเคยมีความคิดที่จะ “กรุณาลดราคา” ด้วยเหตุผลว่า “หนังทุนต่ำ” บ้างหรือเปล่า?
ครับ, ที่พูดมาทั้งหมด อย่าได้บอกเชียวนะครับว่า ถ้าไม่มีตังค์ก็ไม่ต้องไปดู อยู่บ้านเฉยๆ… เพราะจริงๆ เรื่องแบบนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับว่า มีตังค์หรือไม่มีตังค์ แต่มันอยู่ที่ว่า โรงหนังมีสิ่งที่เรียกว่า “มาตรฐาน” มากน้อยแค่ไหน??
แน่นอน เรื่องทั้งหมด ผมว่าโรงหนังกำลังทำร้ายตัวเองอยู่กลายๆ เพราะทุกอย่างที่เป็นอยู่ มันทำให้คนดูส่วนหนึ่งเบื่อหน่ายและไม่คิดจะเข้าไปใช้บริการหนังโรง เพราะพูดก็พูดเถอะ เดี๋ยวนี้ จะหนังดังหนังดีแค่ไหน ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มีแผ่นออกมาขาย อดใจรอนิด ก็มีให้ดูแล้ว แถมเก็บไว้ดูได้หลายรอบอีกด้วย (แต่ก็อีกนั่นแหละ ซื้อหนังแผ่นมาดู ก็ยังอุตส่าห์มีโฆษณาติดมาด้วยอีกแน่ะ คือโฆษณาหนังตัวอย่างนั้นไม่เท่าไหร่ครับ แต่โฆษณาสินค้าหรือว่าประชาสัมพันธ์ผลงานเชิง CSR นี่ ไม่ไหวจะเคลียร์เลยจริงๆ…โอกาสต่อไป ผมจะมาพูดเรื่องนี้)
และไหนๆ ก็พูดเรื่องโรงหนังแล้ว ผมคิดว่า ในขณะคนส่วนหนึ่งกำลังเบื่อๆ หน่ายๆ กับโรงหนังเจ้าใหญ่ๆ ซึ่งกำลังสนุกสนานกับการโกยเงินอยู่ในตอนนี้ ผมคิดนะครับว่า บางที มันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีของพวกโรงหนังชั้นสองขึ้นมาก็ได้
ที่พูด…ไม่ใช่โรงหนังที่ฉายภาพยนตร์ติดเรทอะไรพวกนั้นนะครับ แต่เป็นโรงหนังชั้นสอง เช่น “นครนนท์รามา”, “งามวงศ์วาน เดอะ เธียเตอร์” หรือ “ดาวคะนองรามา” ฯลฯ ที่ฉายหนังประเภท 2 เรื่องควบ 40 บาทต่อที่นั่งบ้าง หรือ 60 บาทบ้าง แน่นอนว่า หนังที่ฉายก็เป็นหนังใหม่ๆ ทั้งนั้น จะด้อยอย่างเดียวก็คือ คุณภาพของโรงหนัง ทั้งความเก่า ความไม่สะอาด ไปจนถึงระบบเสียง ฯลฯ
เป็นที่เข้าใจกันว่า โรงหนังเหล่านี้ดำเนินธุรกิจมานานเหมือนคนแก่ที่สังขารร่วงโรย ปล่อยให้สภาพผุพังไปตามยถากรรม ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มคนรายได้น้อย หรือไม่ก็คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในเมือง
สิ่งที่ผมคิดก็คือว่า ทำไม โรงหนังเหล่านี้ถึงไม่มีความคิดที่จะ “ปรับ” หรือ “อัพเกรด” ตัวเองขึ้นมา ด้วยการปรับปรุงระบบและสภาพบรรยากาศสิ่งแวดล้อมให้มันดูโอเคขึ้นมาหน่อย (คือตอนนี้ มันโทรมทั้งโรงหนังและสภาพแวดล้อมรอบๆ โรง ที่ทำให้รู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในแหล่งอาชญากรรมยังไงไม่รู้) ไม่ต้องหรูหราเหมือนเจ้าใหญ่อย่างเมเจอร์หรือเอสเอฟก็ได้ครับ เอาแค่ให้มันได้ในระดับที่คนเขาสบายใจที่จะเดินเข้าไปก็พอแล้ว
ผมเชื่อนะครับว่า ถ้าโรงหนังชั้นสองเหล่านี้สามารถปรับปรุงตัวเองให้ “ดูดี” ขึ้นมาสักหน่อย ลูกค้าจะเพิ่มขึ้นแน่ๆ เพราะแม้แต่ผม บางครั้งก็คิดอยากจะเข้าไปใช้บริการโรงหนังแบบนี้เหมือนกัน อันเนื่องมาจากราคาค่าตั๋วที่ยั่วยวนใจของมัน ก็คิดดูสิครับ ฉายหนังใหม่หนังดัง 2 เรื่องควบ (2012 กับNew Moon) ราคาแค่ 60 บาท ต่อให้หนังมันห่วยแค่ไหน ความรู้สึกเสียดายเงินก็คงไม่มากนัก แต่ทุกครั้งที่คิดจะเข้าไปดู ก็ติดอยู่ที่สภาพบรรยากาศของโรงที่ชวนพะอืดพะอมตั้งแต่มองเข้าไป
ดังนั้น ผมคิดว่า ถ้าโรงหนังเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเห็นว่า ไปดูหนังที่นี่ คุณก็สามารถ “รู้สึกดีกับชีวิต” ได้ ก็น่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้ตัวเองขึ้นมาได้อีก วิธีการเบื้องต้นก็อาจจะต้องยอมเสียยอมลงทุนสักหน่อยเพื่อปรับสภาพให้มันดี แล้วจากนั้นก็ “ขอขึ้นค่าตั๋วอย่างสุภาพ” สักที่นั่งละ 20-30 บาท ผมว่าคนดูเองก็น่าจะ “เข้าใจ” และ “ไม่ทุกข์ร้อน” อะไรมากมายนะครับ เพราะเมื่อเทียบกับราคาค่าตั๋วของโรงใหญ่ๆ ทั่วไป มันก็ยัง “ถูกกว่า” อยู่ดี
แล้วทีนี้ ถ้าเกิดธุรกิจ “รุ่ง” ขึ้นมาได้อย่างที่คิด ก็ขอจง “รักษานิสัยอันดี” ไว้ให้มั่นนะครับ เท่าๆ กับที่ต้องรักษามาตรฐานราคาค่าตั๋ว ไม่ใช่คิดจะขึ้นจะลงก็ได้ตามใจฉัน และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือ อย่าโลภมากเห็นแก่ได้จนเกินควร ด้วยการอัดโฆษณายาวเหยียดยัดเยียดคนดูจนน่าชัง!!
ส่งความเห็นที่ Piyapong ยกเลิกการตอบ